รีวิว Nokia Treasure Tag WS-2 อุปกรณ์เล็กๆ มากความสามารถ ใช้ได้ข้ามระบบปฏิบัติการ
Treasure Tag WS-2 นั้นมีความสามารถและมีศักยภาพในตัวสูงที่จะเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญในการใช้งานได้มากกว่านี้ แต่ด้วยคุณสมบัติที่ยังมีอยู่ตอนนี้ ทำให้มันลดความน่าสนใจของอุปกรณ์ลงไปพอสมควร และด้วยการใช้งานที่อาจแตกต่างกันไปสำหรับแต่ละคน ทำให้มันไม่ใช่อุปกรณ์ที่เหมาะสำหรับทุกคน
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเจ้า Treasure Tag นั้นไม่น่าสนใจนะครับ ตรงกันข้ามเลยเพราะว่าด้วยคุณสมบัติเท่าที่มีตอนนี้เอง ก็ยังทำให้มันสามารถใช้งานได้อย่างเป็นประโยชน์สำหรับหลายๆคน (เช่นผม) แล้วครับ แต่ (อีกแล้ว) อย่างที่เกริ่นไปข้างต้น ลักษณะการใช้งานของมัน อาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกคน
ลองอ่านบทความนี้ประกอบการตัดสินใจได้ครับ
รู้จักกับ Nokia Treasure Tag WS-2
Nokia Treasure Tag WS-2 เป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับสมาร์ทโฟน ที่มีหลักการทำงานคือ เราสามารถนำเจ้า Treasure tag นี้ไปติดกับสิ่งของที่เราต้องการ เช่น กระเป๋าสตางค์, พวงกุญแจ หรือแม้แต่กระเป๋าเป้ ที่เราอาจจะลืมตำแหน่งของมันบ่อยๆ โดยเมื่อเราออกห่างจากเจ้า Treasure tag ระบบจะมีเสียงแจ้งเตือนให้เราทราบบนมือถือ ผ่านการทำงานร่วมกับแอพพลิเคชั่นที่ชื่อว่า Treasure Tag (ด้วยคุณสมบัติ Proximity Sensor หรือเซ็นเซอร์วัดระยะที่มีอยู่ในเจ้า Treasure Tag) และหากเราพลาดเสียงเตือนนั้น เราก็ยังสามารถค้นหาตำแหน่งของเจ้า Treasure tag ได้ภายหลัง ผ่านระบบแผนที่ Here maps และระบบ Augment Realityการทำงานร่วมกันของเจ้า Treasure Tag WS-2 นั้นอาศัยหลักการทำงานของ Bluetooth LE หรือ Bluetooth 4.0 ที่จะเชื่อมต่อเจ้า Treasure Tag WS-2 เข้ากับสมาร์ทโฟนของเรา และพิเศษขึ้นมาอีกนิดสำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นที่มี NFC เราสามารถจับคู่อุปกรณ์ทั้ง 2 เข้าด้วยกันด้วยระบบ NFC ได้ (แต่ถ้ามือถือของเราไม่มี NFC ก็ยังสามารถจับคู่ได้ผ่าน Bluetooth อยู่ดี)
Treasure Tag WS-2 รองรับการจับคู่กับสมาร์ทโฟนได้ครั้งละ 1 เครื่องเท่านั้น แต่สำหรับสมาร์ทโฟน 1 เครื่อง จะสามารถจับคู่กับ Treasure Tag WS-2 ได้สูงสุด 4 เซ็นเซอร์หรือ 4 ตัว และระยะทำการของมาตรฐาน Bluetooth 4.0 ที่ใช้อยู่ใน Treasure Tag WS-2 อยู่ที่ราว 40 เมตร (ตามสเปคในหน้าเว็บไซต์ ขึ้นกับว่ามีสิ่งกีดขวางหรือไม่ด้วยนะครับ) แต่ก็ถือว่าเป็นระยะที่ไกลพอสมควร
อย่างไรก็ดีจากที่ผมทดสอบมา ระยะทำการทั่วไปของเจ้า Treasure tag อยู่ที่ราวๆ 10-15 เมตรเท่านั้น
นั่นคือหลักการทำงานคร่าวๆของเจ้า Treasure Tag ครับ
แกะกล่องดูเจ้า Treasure Tag WS-2
Treasure Tag WS-2 จะมีชุดวางจำหน่ายที่ประกอบไปด้วยกล่อง (แน่นอนล่ะครับ) เจ้า Treasure Tag WS-2 พร้อมสายหรือแถบรัดที่มีมาให้ 2 แบบคือแบบที่มีสายคล้องและแบบที่ไม่มีสายคล้องในตัว นอกจากนี้ยังมีใบรับประกันสินค้าและคู่มือ (ที่ส่วนตัวต้องบอกว่ามีประโยชน์มากสำหรับการใช้งานอุปกรณ์ที่ไม่คุ้นเคยแบบนี้ และคู่มือเขียนแนะนำการใช้งานที่ครบถ้วนจริงๆครับ)
ด้านหน้ามีปุ่ม Multifunction ปุ่มเดียวทำงานได้ทุกอย่างของอุปกรณ์ตัวนี้ |
ด้านหลังมีรูเล็กๆที่เป็นช่องลำโพงที่เสียงดังดีจริงๆครับ |
Nokia Treasure Tag WS-2 ตัวอุปกรณ์ทำจากพลาสติก มีสีให้เลือก 4 สีคือสีฟ้า ดำ ขาว และเหลืองซึ่งสำหรับเครื่องที่ผมได้รับมาคือสีดำ ข้อติอย่างเดียวของผมสำหรับวัสดุของเจ้าอุปกรณ์ชิ้นนี้คือพื้นผิวที่เป็นรอยง่ายไปซักนิด เพราะถึงแม้ผมจะไม่ได้ใช้งานมันทรหดซักเท่าไหร่ แต่การได้อยู่ด้วยกัน 2 สัปดาห์นั้น ปรากฏว่า....รอยเพียบครับ ข้อนี้เป็นข้อที่ต้องควรระวังจริงๆ
รายเพียบภายใน 2 สัปดาห์ |
Treasure Tag WS-2 มีแหล่งพลังงานเป็นถ่านก้อนกลม ซึ่งหาซื้อได้ทั่วไปและจากสเปคที่ Microsoft ระบุเอาไว้เจ้า Treasure Tag WS-2 สามารถใช้งานได้นาน 6 เดือนสำหรับถ่านก้อนเดียว
และเมื่อถ่านหมดแน่นอนเราสามารถหาเปลี่ยนได้ง่ายๆ และต้นทุนไม่สูงด้วยครับ และการเปลี่ยนถ่านทำได้ไม่ยาก เพียงแต่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยในการแงะฝาหลังออกมาเท่านั้นเอง
ใช้งานได้ข้ามระบบปฏิบัติการ
ข้อดีของเจ้า Treasure Tag WS-2 นี้คือ มันสามารถทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการอื่นๆนอกจาก Windows phone และสามารถใช้งานกับสมาร์ทโฟนยี่ห้ออื่นๆที่ไม่ใช่ยี่ห้อ Nokia ได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น iOS และ Android ซึ่งจากที่ผมทดสอบมา การใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ระบบ iOS จะทำงานได้สมบูรณ์กว่าบน Android ครับ เพราะจากที่ผมทดสอบบน Samsung Galaxy Note 2 นั้นพบปัญหาเรื่องการจับคู่อุปกรณ์ลำบากอยู่บ้าง และบางฟังก์ชั่นอย่างการค้นหาอุปกรณ์ทำงานไม่ได้ ส่วนบน iOS นั้นทำงานได้สมบูรณ์ทุกฟังก์ชั่นแต่การทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการอื่นๆที่ไม่ใช่ระบบ Windows phone จะเป็นการทำงานร่วมกับ 3rd party application ซึ่งไม่ใช่แอพของ Microsoft โดยตรงเท่านั้นเอง ซึ่งแอพสำหรับระบบทั้ง 2 ระบบจะเป็นแอพที่พัฒนาโดย Comarch SA แต่ก็ใช้งานได้สมบูรณ์ครับ
แต่สำหรับบน iOS นั้นจะให้การทำงานที่สมบูรณ์กว่า Android ครับ |
ประโยชน์และสิ่งที่เราคาดหวังได้จากเจ้า Treasure Tag WS-2
จุดเด่นของ Treasure Tag WS-2 นั้น Microsoft ระบุเอาไว้ว่าใช้สำหรับการตามหาสิ่งของเล็กๆ ที่เราอาจจะหลงลืมบ่อยๆ แต่ในความเป็นจริงการใช้งานเจ้า Treasure Tag นั้นเราสามารถประยุกต์ใช้งานได้หลายๆรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น- การนำ Treasure Tag ไปไว้ในรถเพื่อจำตำแหน่งที่เราจอดรถเอาไว้ครั้งสุดท้ายได้ (แต่แน่นอนว่าถ้าเป็นการจดรถในห้างที่มีหลายๆชั้น การค้นหาตำแหน่งอาจจะไม่ตรง 100%)
- การติด Treasure Tag ไว้กับคนหรือสัตว์เลี้ยงเพื่อให้แจ้งเตือนเรา เมื่อคนหรือสัตว์เลี้ยงนั้นๆออกห่างจากระยะทำการของเจ้า Treasure Tag ของเรา (น่าจะเหมาะสำหรับคนที่ต้องดูแลเด็กหรือผู้สูงอายุ)
- หรือจะเป็นการใช้ในรูปแบบที่ Microsoft โปรโมตนั่นคือการเอาเจ้า Treasure tag สำหรับการค้นหาตำแหน่งของอุปกรณ์เล็กๆที่เรามักจะหลงลือบ่อยๆอย่าง พวงกุญแจหรือการกระเป๋าก็ได้
เริ่มใช้งาน
อย่างที่เกริ่นไปครับว่า เจ้า Treasure Tag WS-2 สามารถเชื่อมกับอุปกรณ์ของเราได้ผ่าน Bluetooth หรือ NFC ก็ได้ การเชื่อมต่อทำได้ไม่ยากไม่ว่าจะระบบปฏิบัติการใด โดยเริ่มจากการดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น Treasure Tag จาก Store ของแต่ละระบบปฏิบัติการมาก่อน จากนั้นเปิด NFC หรือ Bluetooth บนมือถือของเรา และกดปุ่ม Multifunction button บนเจ้า Treasure tag ค้างไว้ซักครู่ และอุปกรณ์ทั้ง 2 จะจับคู่กันเองเมื่อเราจับคู่อุปกรณ์แล้ว เราจะสามารถตั้งค่าต่างๆของเจ้า Treasure Tag ของเราได้ทั้งการกำหนดชื่อ ไอค่อนรวมถึงกำหนดการเสียงและลักษณะการแจ้งเตือนของแอพได้
และพิเศษสำหรับ Windows phone เราสามารถ pin เจ้า Treasure Tag ที่เราจับคู่เอาไว้ที่หน้า Live Tiles ของเราได้ซึ่งก็จะมีการแจ้งเตือนที่บน tiles นั้นๆรวมถึงการแจ้งเตือนบนส่วน Action center ด้วย
การแจ้งเตือน
การแจ้งเตือนของระบบ Treasure Tag นั้นจะเริ่มทำงานต่อเมื่ออุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่งที่ผ่านการจับคู่กันแล้ว (ไม่ว่าจะเป็นเจ้า Treasure tag หรือสมาร์ทโฟนของเรา) ออกห่างจากกันเกินระยะทำการ และเมื่อนั้นอุปกรณ์ทั้ง 2 ตัวจะมีการแจ้งเตือนให้เราทราบทันที
ต้องบอกว่าเจ้า Treasure tag นั้นมีเสียงที่ดังฟังชัดดีทีเดียวครับ
นอกจากที่จะให้ระบบแจ้งเตือนเมื่ออุปกรณ์ทั้ง 2 ออกห่างจากกันแล้ว เรายังสามารถใช้ฟังก์ชั่นการเรียกให้อุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่งส่งเสียงให้เราได้ยินเพื่อค้นหาตำแหน่งของอุปกรณ์ที่เราหาไม่เจอได้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้โทรศัพท์ของเราค้นหาเจ้า Treasure Tag ด้วยการเปิดแอพพลิเคชั่น Treasure tag ขึ้นมาและแตะที่ตัวเลือกให้เจ้า Treasure tag ส่งเสียงร้องขึ้น ดังรูป
หากเราออกห่างจากเจ้า Treasure Tag มากๆ เรายังสามารถใช้งานการค้นหาตำแหน่งของเจ้า Treasure Tag ได้ผ่านระบบแผนที่ ซึ่งสำหรับระบบ Windows phone นั้นแอพพลิเคชั่น Treasure Tag จะทำงานร่วมกับระบบแผนที่ Here Map ได้ แต่สำหรับระบบปฏิบัติการอื่นๆเองก็สามารถทำงานร่วมกับระบบแผนที่ในระบบปฏิบัติการนั้นๆได้เช่นกัน
และสำหรับขาว Windows phone เราสามารถค้นหาเจ้า Treasure tag ได้ผ่านระบบนำทาง Here Drive ได้อีกด้วย
หรือเราสามารถค้นหาโทรศัพท์ของเราด้วยเจ้า Treasure tag ก็ได้ (กรณีที่ลืมตำแหน่งที่วางโทรศัพท์) โดยกดที่ปุ่ม Multifunction ของเจ้า Treasure tag จากนั้นโทรศัพท์ของเราจะส่งเสียงร้องขึ้นมาเช่นกัน
เมื่อกดที่ปุ่ม Multifucntion ระบบจะแจ้งเตือนที่โทรศํพท์และส่งเสียงร้องเตือนขึ้นมาด้วย |
สำหรับระบบ iOS นั้น โทรศัพท์จะส่งเสียงขึ้นมาถึงแม้เราจะปิดเสียงก็ตาม แต่ไม่แน่ใจว่าเพราะเหตุใด คุณสมบัตินี้ถึงไม่สามารถทำงานได้บน Windows phone เครื่องที่ผมทดสอบ กล่าวคือเมื่อเราปิดเสียงเตือนบน Nokia Lumia ของเราและทำการกดปุ่มที่ Treasure tag แล้ว มือถือของเราจะไม่ร้องเตือนขึ้นมา (แต่จะยังมีการเตือนผ่านระบบ Notification อยู่)
ไม่แน่ใจจริงๆว่าเป็นเพราะข้อจำกัดของตัวระบบปฏิบัติการ หรือเป็นบั๊คในแอพ Treasure tag บน Windows phone กันแน่ครับ
อย่างไรก็ดี ในกรณีการใช้ Treasure tag ค้นหาโทรศัพท์นั้น ทั้งเจ้า Treasure Tag และโทรศัพท์ของเราต้องอยู่ในระยะทำการของเจ้า Treasure tag เท่านั้นถึงจะสามารถใช้วิธีการนี้ได้
ข้อดีและข้อด้อยของเจ้า Treasure Tag WS-2
สำหรับข้อดีนั้น ผมได้กล่าวถึงในบทความนี้ทั้งหมดแล้วนะครับ ไม่ว่าจะเป็นการประยุกต์ใช้เจ้า Treasure tag ในสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งส่วนตัวต้องบอกว่าจากระยะเวลาที่ใช้งานมา 2 สัปดาห์นั้น ได้เจอกับสถานการณ์ที่ต้องใช้ฟังก์ชั่นการค้นหาอุปกรณ์นี้จริงๆ อยู่ 2 ครั้งซึ่งครั้งหนึ่งคือ ด้วยความที่เจ้า Treasure Tag มีขนาดเล็กและมีความมันเงา และส่วนตัวผมเลี้ยงแมวด้วย ทำให้แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่ดึงดูดเจ้าสัตว์เลี้ยงแสนซนของเราแน่นอน และเมื่อผมลืมวางมันเอาไว้บนโต๊ะทำงานและออกไปข้างนอก แน่นอนครับว่าเจ้า Treasure tag มันหายไปแล้ว….ที่น่ากลัวที่สุดคือ ผมยังรีวิวมันไม่เสร็จเลย.....
แต่ก็สามารถค้นหาเจ้า Treasure tag ได้ครับ ด้วยฟังก์ชั่นที่มีในแอพนั่นเอง (ไปอยู่ใต้ตู้เก็บรองเท้า ในซอกเล็กๆ ที่ถ้าไม่ใช้แอพในการค้นหา ก็ไม่คิดว่าจะไปก้มหาในตำแหน่งนั้นแน่ๆ) ส่วนตัวเลยเห็นประโยชน์ของเจ้า Treasure tag ด้วยเหตุการณ์นี้นั่นเอง
แน่นอนว่าข้อด้อยของเจ้า Treasure tag ก็มีอยู่เช่นกันครับ ซึ่งเขียนข้อดีมาเยอะแล้ว ผมขอสรุปข้อด้อยของเจ้า Treasure tag เอาไว้ที่นี่ครับ
- ข้อด้อยหลักสำหรับผมคือ แน่นอนว่าการค้นหาที่ยังจำกัดอยู่เฉพาะการค้นหาตำแหน่งสุดท้ายของเจ้า Treasure tag ก่อนที่จะออกนอกระยะทำการครั้งล่าสุดเท่านั้น เพราะว่าในตัวเจ้า Treasure tag เองไม่มีอุปกรณ์ GPS ในตัวซึ่งเข้าใจได้ด้วยราคาที่ไม่สูงมาก การที่จะไม่มีระบบ GPS ในตัวก็เป็นเรื่องที่รับได้ เพียงแต่หากมีโมดูล GPS มาให้ด้วย มันจะทำให้การใช้งานสมบูรณ์ และใช้งานได้หลากหลายขึ้นกว่านี้อีกเยอะ (แต่ก็แลกมากับราคาที่น่าจะสูงขึ้นเยอะเช่นกัน ซึ่งถ้าทำออกมาเป็นรุ่นที่มี GPS ในตัวเป็นทางเลือกด้วย คงจะน่าสนใจไม่น้อย)
- วัสดุที่เป็นรอยได้ง่ายมาก เพราะฉะนั้นผู้ที่ใช้งานต้องทำใจเอาไว้ก่อนเลยครับ
- ราคาที่อาจจะสูงไปเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้ เนื่องจากความต้องการและความจำเป็นในการใช้งานของแต่ละคนไม่เท่ากัน การจ่ายเงิน 990 บาทสำหรับซื้ออุปกรณ์ที่ยังอาจจะมองเห็นประโยชน์การใช้งานมากนัก
ส่วนตัวผมมองว่าถ้าราคาจะต่ำกว่านี้อีกสักหน่อย (เยอะๆหน่อยก็ได้) น่าจะทำให้เจ้า Treasure tag น่าสนใจกว่านี้อีกเยอะเลยครับ
สรุป
สำหรับคนที่เห็นประโยชน์ในการใช้งานเจ้า Treasure Tag โดยเฉพาะคนที่ลืมของบ่อยๆ และเลือกใช้งานกับของที่สำคัญกับเรา (อาจจะเป็นคนหรือสัตว์ก็ได้) เจ้า Treasure tag ก็น่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ซึ่งส่วนตัวผมมองว่าถ้าเป็นคนที่ลืมของบ่อยๆ น่าจะได้ใช้งานเจ้าอุปกรณ์นี้แน่นอน
ส่วนข้อด้อยก็อย่างที่บอกไปในส่วนที่ผ่านมาครับ ซึ่งสำหรับผู้ที่สนใจก็ต้องลองชั่งใจกันดูครับว่า กับราคาและการใช้งานที่ได้ (อย่างที่ผมบอกไปในบทความนี้ทั้งหมด) นั้น คุ้มค่ากับการลงทุนของเราหรือไม่ครับ
Comments
Post a Comment